จุดเดือดของสารประกอบอินทรีย์ คือ อุณหภูมิที่สารประกอบอินทรีย์เปลี่ยนสถานะจากของเหลวกลายเป็นแก๊ส โดยทั่วไปแล้ว จุดเดือดของสารประกอบอินทรีย์จะสูงขึ้นตามน้ำหนักโมเลกุลที่เพิ่มขึ้น ตัวอย่างเช่น เมทาน (CH4) มีจุดเดือด -161.5 °C ในขณะที่แอลกอฮอล์ที่มีน้ำหนักโมเลกุลใกล้เคียงกัน เช่น เมทานอล (CH3OH) เอทานอล (C2H5OH) และโพรพิลแอลกอฮอล์ (C3H7OH) มีจุดเดือดที่สูงกว่า คือ -97.8 °C, 78.3 °C และ 97.2 °C ตามลำดับ
นอกจากน้ำหนักโมเลกุลแล้ว จุดเดือดของสารประกอบอินทรีย์ยังขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่น ๆ ดังนี้
- ลักษณะของโมเลกุล สารประกอบอินทรีย์ที่มีโมเลกุลมีขั้วจะจุดเดือดสูงกว่าสารประกอบอินทรีย์ที่ไม่มีโมเลกุลมีขั้ว เนื่องจากโมเลกุลที่มีขั้วจะดึงดูดกันด้วยแรงดึงดูดระหว่างขั้ว (dipole-dipole interaction) ทำให้ต้องใช้พลังงานมากกว่าในการแยกโมเลกุลออกจากกัน ตัวอย่างเช่น แอลกอฮอล์มีจุดเดือดสูงกว่าแอลเคนที่มีน้ำหนักโมเลกุลใกล้เคียงกัน เนื่องจากโมเลกุลของแอลกอฮอล์มีหมู่ไฮดรอกซิลที่มีขั้ว
- ขนาดของโมเลกุล สารประกอบอินทรีย์ที่มีโมเลกุลขนาดใหญ่จะจุดเดือดสูงกว่าสารประกอบอินทรีย์ที่มีโมเลกุลขนาดเล็ก เนื่องจากโมเลกุลที่มีขนาดใหญ่จะมีโมเมนตัมเชิงมุม (angular momentum) มากกว่า ทำให้ต้องใช้พลังงานมากกว่าในการแยกโมเลกุลออกจากกัน ตัวอย่างเช่น อีเทอร์ที่มีโมเลกุลขนาดใหญ่กว่าแอลเคนที่มีน้ำหนักโมเลกุลใกล้เคียงกัน จะมีจุดเดือดสูงกว่า
จุดเดือดของสารประกอบอินทรีย์มีความสำคัญอย่างยิ่งในชีวิตประจำวัน เนื่องจากสามารถใช้เป็นข้อมูลในการแยกสารประกอบอินทรีย์ออกจากกัน ตัวอย่างเช่น สารประกอบอินทรีย์ที่มีจุดเดือดต่างกันสามารถแยกออกจากกันได้โดยใช้การกลั่น สารประกอบอินทรีย์ที่มีจุดเดือดสูงยังสามารถนำไปใช้ประโยชน์ในอุตสาหกรรม เช่น การผลิตพลาสติก ยาง เป็นต้น
ตัวอย่างการประยุกต์ใช้จุดเดือดของสารประกอบอินทรีย์
- การใช้การกลั่นเพื่อแยกสารประกอบอินทรีย์ออกจากกัน เช่น แยกน้ำมันดิบออกเป็นผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ เช่น เบนซิน ดีเซล น้ำมันเตา เป็นต้น
- การใช้จุดเดือดของสารประกอบอินทรีย์ในการระบุชนิดของสารประกอบอินทรีย์ เช่น การใช้จุดเดือดของแอลกอฮอล์ในการแยกแอลกอฮอล์ออกจากสารประกอบอินทรีย์อื่น ๆ
- การใช้จุดเดือดของสารประกอบอินทรีย์ในการกำหนดองค์ประกอบของสารประกอบอินทรีย์ เช่น การใช้จุดเดือดของสารประกอบไฮโดรคาร์บอนในการประมาณปริมาณของอะตอมของคาร์บอนและไฮโดรเจนในสารประกอบนั้น