ปัจจัยที่มีผลต่ออัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมี มีดังนี้
- ความเข้มข้นของสารตั้งต้น ยิ่งความเข้มข้นของสารตั้งต้นสูง อัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมีก็จะสูง
สารตั้งต้นยิ่งมีปริมาณมาก โอกาสที่โมเลกุลของสารตั้งต้นจะเกิดการชนกันก็จะมากขึ้น ส่งผลให้อัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมีสูงขึ้น ตัวอย่างเช่น ปฏิกิริยาระหว่างโซเดียมไฮดรอกไซด์และกรดไฮโดรคลอริก จะเกิดได้เร็วขึ้นเมื่อใช้โซเดียมไฮดรอกไซด์เข้มข้นมากกว่าโซเดียมไฮดรอกไซด์เจือจาง
- อุณหภูมิ ยิ่งอุณหภูมิสูง อัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมีก็จะสูง
อุณหภูมิที่สูงขึ้นทำให้โมเลกุลของสารตั้งต้นมีพลังงานจลน์สูงขึ้น ส่งผลให้โมเลกุลของสารตั้งต้นเกิดการชนกันที่มีพลังงานจลน์เพียงพอที่จะเกิดปฏิกิริยาเคมีได้มากขึ้น ตัวอย่างเช่น ปฏิกิริยาการสลายตัวของแอมโมเนียจะเกิดได้เร็วขึ้นเมื่ออุณหภูมิสูงขึ้น
- พื้นผิวสัมผัสของสารตั้งต้น ยิ่งพื้นผิวสัมผัสของสารตั้งต้นสูง อัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมีก็จะสูง
สารตั้งต้นที่มีพื้นผิวสัมผัสสูง โอกาสที่โมเลกุลของสารตั้งต้นจะเกิดการชนกันก็จะมากขึ้น ส่งผลให้อัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมีสูงขึ้น ตัวอย่างเช่น ปฏิกิริยาระหว่างเหล็กและกรดไฮโดรคลอริกจะเกิดได้เร็วขึ้นเมื่อใช้เหล็กขูดฝอยมากกว่าใช้เหล็กแท่ง
- ตัวเร่งปฏิกิริยา ตัวเร่งปฏิกิริยาจะเร่งอัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมี
ตัวเร่งปฏิกิริยาจะลดพลังงานกระตุ้น (Activation energy) ซึ่งเป็นพลังงานที่โมเลกุลของสารตั้งต้นต้องใช้ในการข้ามผ่านสถานะทรานซิชัน ส่งผลให้ปฏิกิริยาเคมีเกิดขึ้นได้เร็วขึ้น ตัวอย่างเช่น ปฏิกิริยาการสลายตัวของไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์จะเกิดได้เร็วขึ้นเมื่อเติมไอโอดีนเป็นตัวเร่งปฏิกิริยา
สรุป
อัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมีสามารถควบคุมได้โดยใช้ปัจจัยต่างๆ เช่น ความเข้มข้นของสารตั้งต้น อุณหภูมิ และตัวเร่งปฏิกิริยา