การเกิดภาพจากกระจกเงาทรงกลม คือการที่เรามองเห็นวัตถุต่างๆ ที่อยู่รอบตัวได้ เกิดจากแสงที่สะท้อนจากกระจกเงาทรงกลมแล้วมารวมกันที่จุดใดจุดหนึ่ง ทำให้เกิดภาพบนจอประสาทตา สมองจะแปลความหมายของภาพที่ได้รับ แล้วทำให้เรามองเห็นวัตถุนั้นๆ
กระจกเงาทรงกลมสามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่
กระจกเงาเว้า (Concave Mirror) มีลักษณะโค้งมนเข้าหากัน ทำหน้าที่โฟกัสแสง
กระจกเงานูน (Convex Mirror) มีลักษณะโค้งมนออกห่างกัน ทำหน้าที่กระจายแสง
การเกิดภาพจากกระจกเงาเว้า
เมื่อแสงจากวัตถุกระทบกระจกเงาเว้า แสงจะหักเหเข้าหาจุดศูนย์กลางของกระจกเงา (C) โดยทิศทางการหักเหของแสงจะขึ้นอยู่กับระยะห่างระหว่างวัตถุกับกระจกเงา
หากวัตถุอยู่ไกลกว่าจุดโฟกัส (o > f) จะเกิดภาพจริงที่ระยะภาพที่อยู่หลังกระจกเงา (i > 0)
หากวัตถุอยู่ใกล้กว่าจุดโฟกัส (o < f) จะเกิดภาพเสมือนที่ระยะภาพที่อยู่หน้ากระจกเงา (i < 0)
การเกิดภาพจากกระจกเงานูน
เมื่อแสงจากวัตถุกระทบกระจกเงานูน แสงจะหักเหออกจากกัน โดยทิศทางการหักเหของแสงจะขึ้นอยู่กับระยะห่างระหว่างวัตถุกับกระจกเงา
หากวัตถุอยู่ไกลกว่าจุดโฟกัส (o > f) จะเกิดภาพเสมือนที่ระยะภาพที่อยู่หลังกระจกเงา (i < 0)
หากวัตถุอยู่ใกล้กว่าจุดโฟกัส (o < f) จะเกิดภาพเสมือนที่ระยะภาพที่อยู่หน้ากระจกเงา (i < 0)
การประยุกต์ใช้การเกิดภาพจากกระจกเงาทรงกลม
การเกิดภาพจากกระจกเงาทรงกลมมีการนำประยุกต์ใช้ในด้านต่างๆ เช่น
ไฟฉาย ใช้ในการส่องสว่าง
แว่นขยาย ใช้ในการส่องดูวัตถุที่มีขนาดเล็ก
กล้องโทรทรรศน์ ใช้ในการส่องดูวัตถุที่อยู่ไกล
สรุป
การเกิดภาพจากกระจกเงาทรงกลมเป็นปรากฏการณ์ที่พบเห็นได้ทั่วไปในชีวิตประจำวัน มีประโยชน์ในหลายด้าน เช่น ใช้ในการส่องสว่าง ในการส่องดูวัตถุที่มีขนาดเล็ก และในการส่องดูวัตถุที่อยู่ไกล
ตัวอย่างการเกิดภาพจากกระจกเงาทรงกลม
ภาพที่เห็นในแว่นขยาย เกิดจากแสงจากวัตถุผ่านกระจกเงาเว้าแล้วมารวมกันที่จุดใดจุดหนึ่ง ทำให้เกิดภาพจริง
ภาพที่เห็นในกล้องโทรทรรศน์ เกิดจากแสงจากวัตถุผ่านกระจกเงาเว้าสองตัว แล้วมารวมกันที่จุดใดจุดหนึ่ง ทำให้เกิดภาพจริง
ภาพที่เห็นในกระจกโค้ง เกิดจากแสงจากวัตถุผ่านกระจกเงาโค้งแล้วมารวมกันที่จุดใดจุดหนึ่ง ทำให้เกิดภาพจริงหรือเสมือน ขึ้นอยู่กับชนิดของกระจกเงา