แสงเป็นพลังงานรูปหนึ่ง เดินทางในรูปคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า คลื่นแสงมีความยาวคลื่นตั้งแต่ 400 นาโนเมตร ถึง 700 นาโนเมตร ความยาวคลื่นที่สั้นที่สุดคือสีม่วง และความยาวคลื่นที่ยาวที่สุดคือสีแดง
สีของวัตถุเกิดจากการสะท้อนแสง วัตถุแต่ละชนิดจะดูดกลืนแสงสีบางสีและสะท้อนแสงสีบางสีออกมา ทำให้เราเห็นวัตถุเป็นสีนั้นๆ เช่น แอปเปิ้ลสีแดงจะดูดกลืนแสงสีอื่นไว้ทั้งหมด และสะท้อนแสงสีแดงออกมา ทำให้เราเห็นเป็นสีแดง
การมองเห็นสีของมนุษย์เกิดจากการทำงานร่วมกันของเซลล์รูปแท่งและเซลล์รูปกรวยในเรตินาของดวงตา เซลล์รูปแท่งมีหน้าที่ในการมองเห็นในที่มืด ส่วนเซลล์รูปกรวยมีหน้าที่ในการมองเห็นสี เซลล์รูปกรวยมี 3 ชนิด แต่ละชนิดไวต่อแสงสีที่แตกต่างกัน ชนิดที่ไวต่อแสงสีม่วงเรียกว่าเซลล์รูปกรวย S ชนิดที่ไวต่อแสงสีเขียวเรียกว่าเซลล์รูปกรวย M และชนิดที่ไวต่อแสงสีแดงเรียกว่าเซลล์รูปกรวย L
การผสมแสงสีสามารถแบ่งออกเป็น 2 แบบ คือ
- การผสมแสงสีแบบบวก (addition of colored light) เป็นการผสมแสงสีเข้าด้วยกันเพื่อให้ได้แสงสีใหม่ แสงสีปฐมภูมิ คือ สีที่ไม่สามารถผสมจากแสงสีอื่นได้ ประกอบด้วยแสงสีแดง แสงสีเขียว และแสงสีน้ำเงิน เมื่อผสมแสงสีปฐมภูมิเข้าด้วยกันในปริมาณที่เท่ากันจะได้แสงสีขาว
- การผสมแสงสีแบบลบ (subtraction of colored light) เป็นการผสมแสงสีเข้าด้วยกันเพื่อให้ได้สีดำ แสงสีทุติยภูมิ คือ สีที่เกิดจากการผสมแสงสีปฐมภูมิ 2 สีเข้าด้วยกัน ประกอบด้วยสีเหลือง สีแดงม่วง และสีน้ำเงินเขียว เมื่อผสมแสงสีทุติยภูมิเข้าด้วยกันในปริมาณที่เท่ากันจะได้สีดำ
ตัวอย่างการผสมแสงสีแบบบวก
- ผสมแสงสีแดงกับแสงสีเขียวจะได้สีเหลือง
- ผสมแสงสีแดงกับแสงสีน้ำเงินจะได้สีม่วง
- ผสมแสงสีเขียวกับแสงสีน้ำเงินจะได้สีน้ำเงินเขียว
ตัวอย่างการผสมแสงสีแบบลบ
- ผสมแสงสีแดงกับแสงเหลืองจะได้สีน้ำตาล
- ผสมแสงสีแดงกับแสงม่วงจะได้สีแดงม่วงเข้ม
- ผสมแสงสีเขียวกับแสงน้ำเงินเขียวจะได้สีฟ้า
การมองเห็นสีเป็นสิ่งสำคัญในการดำรงชีวิตของเรา เราใช้การมองเห็นสีเพื่อแยกแยะสิ่งต่างๆ ในชีวิต เช่น แยกแยะอาหาร แยกแยะอันตราย และแยกแยะความสวยงาม ความรู้เกี่ยวกับแสงสีจึงมีความสำคัญต่อการศึกษาและชีวิตประจำวันของเรา